ลาวดวงเดือน

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ชนิดของคำ


คำนาม

คำสรรพนาม


คำกริยา
หน้าที่ของคำกริยา
           ๑. กริยาทำหน้าที่เป็นตัวแสดงของประธาน เช่น พ่อครัวปรุงอาหารจานเด็ด
           ๒. กริยาทำหน้าที่ขยายคำนามที่อยู่ข้างหน้า เช่น
               ตำรวจห้ามเล่นปืนฉีดน้ำ (ฉีดน้ำ ขยายคำว่า ปืน)
           ๓. คำกริยาทำหน้าที่ได้เหมือนคำนาม หมายความว่านามทำหน้าที่เป็นประธาน คำกริยาก็ทำหน้าที่เป็นประธานได้  คำนามทำหน้าที่เป็นกรรมคำกริยาบางคำก็ทำหน้าที่เป็นกรรมได้เหมือนคำนาม เช่น
               ตื่นนอนตอนเช้าทำให้ร่างกายสดชื่นแจ่มใส
               (ตื่นนอนตอนเช้า  เป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่เป็นประธาน)
               เขาไม่ชอบออกกำลังกาย
               (ออกกำลังกาย เป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่เป็นกรรมเพราะถูกไม่ชอบ)

คำวิเศษณ์

คำวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้ขยายคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา และคำวิเศษณ์ เพื่อให้ได้ความชัดเจนยิ่งขึ้น
คำวิเศษณ์แบ่งเป็น ๑๐ ชนิด ดังนี้
๑. ลักษณวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกลักษณะ ชนิด สี ขนาด สัณฐาน รส กลิ่น เสียง ความรู้สึก ได้แก่ คำ ใหญ่ เล็ก เร็ว ช้า หอม เหม็น เปรี้ยว หวาน ดี ชั่ว ร้อน เย็น ฯลฯ
             ตัวอย่าง
                  - บ้านเล็กในป่าใหญ่
                  - ผักสดมีประโยชน์ต่อร่างกาย
                  - น้องสูงพี่เตี้ย
๒. กาลวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกเวลาในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เช้า สาย บ่าย เย็น
             ตัวอย่าง
                   - เขาไปทำงานเช้า
                   - เย็นนี้ฝนคงจะตก
                   - เราจากกันมานานมาก
๓. สถานวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกสถานที่ ระยะทาง ได้แก่ คำ ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนือ ใต้ ซ้าย ขวา หน้า หลัง ฯลฯ
            ตัวอย่าง
                 - พี่เดินหน้า น้องเดินหลัง
                 - โรงเรียนอยู่ใกล้ตลาด
                 - แจกันอยู่บนโต๊ะ
๔. ประมาณวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกจำนวนหรือปริมาณ ได้แก่คำ มาก น้อย หนึ่ง สอง หลาย ทั้งหมด ฯลฯ
           ตัวอย่าง
                - เขาไปเที่ยวหลายวัน
                - ฉันเลี้ยงสุนัขสองตัว
                - คนอ้วนกินจุ
๕. นิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความชี้เฉพาะ ชอกกำหนดแน่นอน ได้แก่ คำ นี่ นั่น โน่น นั้น โน้น เหล่านี้ เฉพาะ แน่นอน จริง ฯลฯ
๖. อนิยมสรรพนาม คือ คำวิเศษณ์ที่แสดงความไม่ชี้เฉพาะ ไม่แน่นอน ได้แก่ คำ อะไร ทำไม อย่างไร ไย เช่นไร ฉันใด กี่ ฯลฯ
            ตัวอย่าง
                 - เขาจะไปไหนก็ช่างเขาเถอะ
                 - แม่ซื้ออะไรมาเราก็ทานได้ทั้งนั้น
                 - เธอมาทำไมไม่มีใครสนใจ
๗. ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกเนื้อความเป็นคำถามหรือความสงสัย ได้แก่
คำ อะไร ไหน ทำไม อย่างไร ฯลฯ
            ตัวอย่าง
                 - น้องทำอะไร
                 - สิ่งใดอยู่บนโต๊ะ
                 - เธอจะทำอย่างไร
๘. ประติชญาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่ใช้ในการเรียกขานและโต้ตอบกัน ได้แก่ คำ คะ ขา ครับ ขอรับ จ๋า จ๊ะ พระพุทธเจ้าข้า ฯลฯ
            ตัวอย่าง
                 - หนูจ๋ามาหาครูหน่อยซิจ๊ะ
                 - คุณพ่อครับผมขออนุญาตไปดูหนังนะครับ
                 - หนูกลับมาแล้วค่ะ
๙. ประติเษธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความปฏิเสธ ได้แก่ คำ ไม่ ไม่ใช่ ไม่ได้ หามิได้ บ่ ฯลฯ
            ตัวอย่าง
                 - เขาไม่ทำการบ้านส่งครู
                 - คนพูดโกหกจริงไม่มีใครเชื่อถือ
                 - หนังสือนี้ไม่ใช่ของฉัน ฉันไม่สามารถรับได้
๑๐. ประพันธวิเศษ คือ คำวิเศษณ์ที่ประกอบคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ เพื่อทำหน้าที่เชื่อมประโยค ให้มีความเกี่ยวข้องกัน ได้แก่ คำที่ ซึ่ง อัน อย่างที่ ชนิดที่ ที่ว่า ว่า เพราะเหตุว่า ฯลฯ
             ตัวอย่าง
                  - เขาฉลาดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
                  - แม่ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูก
                  - เขาบอกว่า เขากินจุมาก



คำบุพบท




คำสันธาน
คำสันธาน คือ คำที่ทำหน้าที่เชื่อมคำกับคำ ประโยคกับประโยคข้อความกับข้อความ หรือ ความให้สละสลวย ได้แก่ คำ และ หรือ แต่ เพราะ ฯลฯ
คำสันธานทำหน้าที่ได้ ๔ ลักษณะ ดังนี้
       ๑. ใช้เชื่อมคำกับคำ เช่น ฉันและเธอชอบเรียนวิชาภาษาไทย, เธอชอบมะลิหรือกุหลาบ
       ๒. ใช้เชื่อมข้อความ เช่น คนเราต้องการอาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคด้วยเหตุนี้ เราจึงจำเป็นต้องประกอบอาชีพเพื่อให้ได้เงินมาซื้อสิ่งจำเป็นเหล่านี้
       ๓. ใช้เชื่อมประโยคกับประโยค เช่น แม่ชอบปลูกไม้ดอกแต่พ่อชอบปลูกไม้ประดับ, น้องไปโรงเรียนไม่ได้เพราะไม่สบาย
       ๔.เชื่อมความให้สละสลวย เช่น เขาก็เป็นคนจริงคนหนึ่งเหมือนกัน, คนเราก็ต้องมีผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา
คำสันธานมี ๔ ชนิด คือ
๑. คำสันธานเชื่อมใจความที่คล้อยตามกัน ได้แก่ คำ กับ, และ, ทั้ง...และ, ทั้ง...ก็, ครั้น...ก็, ครั้น...จึง, พอ...ก็
        ตัวอย่าง
              - พ่อและแม่รักฉันมาก
              - ฉันอ่านทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
              - พอมาถึงบ้านฝนก็ตก
๒. คำสันธานเชื่อมใจความที่ขัดแย้งกัน ได้แก่ คำ แต่, แต่ทว่า, ถึง...ก็, กว่า...ก็
        ตัวอย่าง
             - น้องอ่านหนังสือแต่พี่ฟังเพลง
             - ถึงเขาจะปากร้ายแต่เขาก็ใจดี
             - กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้เสียแล้ว
๓. คำสันธานเชื่อมใจความที่ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ คำ หรือ, หรือไม่ก็, มิฉะนั้น, ไม่เช่นนั้น, ไม่...ก็
        ตัวอย่าง
            - เธอจะอ่านหนังสือหรือฟังเพลง
            - เราต้องขยันเรียนมิฉะนั้นจะสอบตก
            - นักเรียนต้องช่วยกันทำความสะอาดห้องเรียนหรือไม่ก็พัฒนาเขตรับผิดชอบ
๔. คำสันธานเชื่อมใจความที่เป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่ จึง, เพราะ, เพราะว่า, เพราะ.....จึง, ฉะนั้น...จึง
       ตัวอย่าง
            - นักเรียนไม่ตั้งใจเรียนจึงสอบไม่ผ่าน
            - เพราะเขาเป็นคนดีจึงได้รับการยกย่อง
            - สุพิศมีความรับผิดชอบดังนั้นจึงได้รับคัดเลือกเป็นประธานนักเรียน
ข้อสังเกต
๑. คำสันธานบางคำใช้เข้าคู่กัน เช่น เพราะ......จึง, กว่า......ก็ ฯลฯ
๒. คำสันธานอาจอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ของประโยค เช่น
         - อยู่ระหว่างคำ ฉันซื้อดอกกุหลาบและดอกบัว
         - อยู่หน้าประโยค เมื่อทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ
         - อยู่ระหว่างประโยค เธอจะเล่นหรือจะเรียน
๓. ประโยคที่มีคำสันธานเชื่อมจะแยกได้เป็นประโยคย่อยตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไป
๔. คำบางคำเป็นได้ทั้งคำสันธานและคำบุพบท โดยการพิจารณาการแยกประโยคเป็นสำคัญ เช่น
         - เราทำงานเพื่อชาติ (เป็นบุพบท)
         - เราทำงานเพื่อเราจะได้สนองคุณชาติ (เป็นสันธาน)
๕. คำสันธานอาจเป็นกลุ่มคำก็ได้
๖. ประพันธสรรพนาม หรือสรรพนามเชื่อมประโยค ที่, ซึ่ง, อัน จัดเป็นคำสันธานด้วย เช่น
         - สตรีผู้มีความงามย่อมเป็นที่สนใจของคนทั่วไป
         - เขาทำงานอยู่ในท้องถิ่นซึ่งห่างไกลความเจริญ
         - ชายที่ยืนอยู่นั้นเป็นทหาร